เออดี เอาเหล้าเอาโซดามาด้วยนะ อย่าลืมน้ำแข็งด้วย หลายคนที่เห็นจั่วหัวเรื่องไว้อย่างนั้น คงอดที่จะคิดเพี้ยนในแบบที่ผมเขียนเอาไว้ข้างต้นไม่ได้ แต่ “ไก่สามอย่าง” ที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับกับแกล้มที่หลายคนนิยมชมชอบแต่อย่างใด
ไก่สามอย่างที่ผมจะเล่าให้ฟังกันเล่นๆ ในวันนี้ไพล่ไปเกี่ยวข้องกับวงการกีฬา ซึ่งจัดว่าเป็นกีฬาสุดยอดของความทรหดอดทนเท่าที่เคยมีมา คือนักกีฬาจะต้องลงแข่งติดต่อกันรวดเดียวสามอย่าง มีว่ายน้ำ จักรยาน แล้วก็วิ่งทน และเนื่องจากมีกีฬาสามอย่างนี่เองชื่อทางการเขาจึงกำหนดเรียกว่า “ไตรกีฬา” ซึ่งมาจากคำว่า “ไทรแอธลอน” (triathlon)
“ไทร” ก็เหมือนกับ “ไตร”ในภาษาไทยของเรา คือแปลว่าสาม อย่างที่รู้ๆกันอยู่
“แอธ”มาจากคำว่า “แอธลีท” หรือ athlete หมายถึง กีฬาหรือกรีฑาอะไรเทือกนั้น
ส่วน “ลอน” นั้นต้องขออธิบายกันยาวหน่อย เราคงรู้จักคำว่ามาราธอนกันดี อันนี้ไม่ได้หมายถึงเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งยี่ห้อใดเลยพับผ่าซี่ สาบานให้ก็ได้ และก็ไม่ได้หมายถึงรุ่นของรถกระบะยี่ห้อหนึ่งด้วย แต่ผมหมายถึงพวกวิ่งแข่งวิ่งทน(บางคนก็ทนวิ่ง)กันนั่นแหละ ที่เห็นตามจอทีวีเวลาเขาถ่ายทอดวิ่งการกุศลแล้วบางคนเอาแต่เดิน หรือบางคนก็วิ่งไปทำตัวเป็นลิงแยกเขี้ยว(เพราะเหนื่อย)หลอกคนดูข้างถนนไป นั่นแหละ ผมหมายถึงไอ้นั่นแหละ
แต่ถ้าจะตั้งชื่อว่า tri-athlete-marathon ฝรั่งมันคงกลัวเสียเหลี่ยมลูกผู้ชายชื่อไอ้แซมที่ตั้งเสียยาวเหยียดเป็นรถไฟ มันก็เลยสรุปย่อมาให้สั้นๆ เป็น triathlon หรือ ไทรแอธลอนนี่เอง ว่ามาเป็นภาษาไทยอย่างนี้แล้ว คุณผู้อ่านก็คงจะเรียกมันได้ถูกต้อง แต่ลองไม่อธิบายความจนครบหน้ากระดาษนี่แล้วให้คุณอ่านเป็นภาษาอังกฤษตอนแรกเลย ผมรับรองได้ว่าร้อยละร้อยอ่านผิด
ก็ขนาดบริษัทขายรองเท้าชื่อดังที่สุดในประเทศแกยังเรียกว่า “ไทรธาลอน” เลย
ก็เพราะไอ้การที่เรียกชื่อมันยากนี่เอง พวกเราที่เป็นนักกีฬา(โปรดสังเกตผมใช้คำว่าพวกเรา คือนับผมเข้าไปด้วยว่าผมเป็นนักกีฬากับเขาคนนึงเหมือนกันนะยะ)ก็เลยเรียกในหมู่พวกเราด้วยกันเองว่า “ไก่สามอย่าง”
กีฬาโหดนี้มีหลักใหญ่คือ ต้องแข่งกีฬาสามอย่างที่ว่าติดต่อกันไปเลย เริ่มด้วยการว่ายน้ำก่อน ขึ้นมาจากน้ำก็ขึ้นหลังอานจักรยานทันที ขี่ควบไปตามระยะทางที่กำหนด ถ้าไม่หมดแรงหรือตกถนนไปซะก่อน มาถึงจุดเปลี่ยนตัวก็ลงจากจักรยาน ออกวิ่งไปอีกตามระยะทางและเส้นทางที่กติกาบ่งเอาไว้ ใครมาถึงก่อนก็ชนะไป
เห็นไหมครับ ง่ายจะตาย ใคร ๆ ก็ทำได้
ปัญหามันคือระยะทางครับ ไก่สามอย่างที่เป็นมาตรฐานระดับอินเตอร์จริง ๆ นี่ เขาสตาร์ทด้วยการว่ายน้ำเป็นระยะทาง ๓.๘ กิโลเมตรหรือ ๓๘๐๐ เมตร ครับ! ๓.๘กิโลเมตรจริง ๆ คุณอ่านไม่ผิดหรอก แค่นึกก็หมดแรงจนไม่อยากใส่กางเกงว่ายน้ำเสียแล้ว พอว่ายน้ำเสร็จแล้วก็ต่อด้วยจักรยานอีก ๑๘๐ กิโลเมตร ขนาดจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปสระบุรีโน่นแหละ ลงจากจักรยานได้ (ถ้ายังไม่ตาย) วิ่งต่อไปอีก ๔๒.๑๙๕ กิโลเมตร หรือระยะทางเต็มมาราธอนที่นักวิ่งกรีกโบราณวิ่งมาส่งข่าวสงครามแล้วล้มลงดิ้นสิ้นใจไปเลยนั่นแหละครับ
รวมระยะทางทั้งสิ้นก็ราว ๆ ๒๒๖ กิโลเมตร!
เป็นไงครับ ลองอิเมจินดูแล้วอยากจะลงแข่งกะเขาบ้างมั้ย บางท่านอาจนึกว่ามนุษย์ที่ไหนจะทรหดอดทนถึงขนาดนั้น และไอ้ที่ลงแข่งก็ไม่ใช่ธรรมดา…ธรรมดา ที่ว่านี่ไม่ได้หมายถึงมีพลังเกินมนุษย์ แต่หมายถึงคนที่ไม่ค่อยจะเต็ม อาไร้ แค่ว่ายน้ำอย่างเดียวสักร้อยเมตร ชั้นก็ตับแลบแล้ว นี่ดันว่าเป็นกิโลเมตรแล้วขี่จักรยานอีกเป็นร้อยกิโล…ไม่พอ ยัง(เสือก)วิ่งอีก…บ้าแน่ ๆ ไอ้พวกนี้
แต่หลายคนคงไม่รู้ว่าเมืองไทยก็เคยมีแข่งไก่สามอย่างกับเขามาแล้ว เมื่อตอนต้นปี ๒๕๓๐ นี่เอง สมาคมไก่สามอย่าง เอ๊ย สมาคมไทรแอธลอนสมัครเล่นของญี่ปุ่น มาขอจับมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งททท.ของเราเห็นว่าเข้าท่าด้วยเป็นปีการท่องเที่ยวไทยจึงรีบคว้าเอาโครงการไว้ แล้วติดต่อสมาคมว่ายน้ำฯ สมาคมจักรยานฯ สมาคมกรีฑาฯ ของบ้านเราทันที สามสมาคมนี้ก็ดีใจหาย(เพราะไม่เคยจัดกับเขาสักที) รีบตกปากรับคำกัน และร่วมกันจัดจน(คนบ้าดีเดือดอย่าง)ผมได้มีโอกาสไปร่วมลงแข่งขันกับเขาด้วย
ฮ้า คุณนี่น่ะเรอะลงแข่งไก่สามอย่างกับเขา มีอะไรเป็นไปแล้วหรือนี่ หลายท่านอาจฉงน เพราะเท่าที่อ่านๆมาก็ เห็นเขียนกันแต่เรื่อง “นอนเพื่อสุขภาพ” หรือไม่ก็ “กินมาราธอน” ทุกที นี่ดันเปลี่ยนนโยบายหันไปเล่นกีฬากะเขาแล้วเรอะ โธ่เอ๋ย เอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ น่ะนา ไม่หรอกครับ ก็อุตส่าห์รอดกลับมาเล่ามาเขียนอยู่นี้
การแข่งขันหนนั้นจัดที่พัทยา เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ ผู้คนคึกคักอยู่ในชุดอาบน้ำเตรียมแข่ง มีทั้งหนุ่มฉกรรจ์และเหี่ยวฉกรรจ์ ทั้งหญิงและชาย ทั้งไทยและเทศ ฝรั่ง ญี่ปุ่น ยืนผลัดเสื้อผ้ากันริมหาด ที่ของใครก็ที่ของมัน เขากำหนดตำแหน่งไว้เก็บเข้าของกับจักรยานของแต่ละคนเรียงเป็นแนวยาว ซึ่งต้องจำที่ของตัวไว้ให้ดี ไม่ใช่ว่าขึ้นจากน้ำแล้วดันผ่าเปลี่ยนไปนุ่งกางเกงและคว้าจักรยานใครก็ไม่รู้ควบขี่ออกไป มีหวังโดนด่ายับเยินไปไม่ได้ผุดได้เกิด
เมื่อพร้อมแล้วนักกีฬาทั้งหมดก็มายืนเรียงรายหลังเส้นสตาร์ท ตะละคนฟิตเปรี๊ยะทะมัดทะแมง โดยเฉพาะแหม่มสาวๆในชุดบิกินี่ โอ้โฮ ฟิตเปรี๊ยะจริงๆ ….แฮ่ะ แฮ่ะ
ก่อนถึงเวลาปล่อยตัวหน้าหาดพัทยา ผมใส่กางเกงอาบน้ำลงไปเกร่ไปเกร่มาแถวหน้าเส้นสตาร์ท เต๊ะท่าให้คนรู้จักและไม่รู้จักถ่ายรูป พลางทำท่าคล้ายๆกับว่า เฮ้ย เฒ่าๆอย่างนี้ก็ลงแข่งไก่สามอย่างกับหนุ่มๆสาวๆเขาได้นะเฟ้ย
ปัง!
เสียงปืนที่ถ้ายิงในห้องนอนและปิดประตูหน้าต่างไว้หมดคงจะดังพิลึก แต่เมื่อยิงหน้าหาดจึงได้ยินเหมือนลูกชายเอาปืนแก๊บที่บ้านมาแอบยิงเล่น ฟังคล้ายๆ “ปุ” มากกว่า
แต่ก็ไม่เป็นไร นักกีฬาหรือที่แอบเรียกตัวเองว่านักกีฬาทุกคนก็รีบทะยานลงน้ำ และว่ายไปยังทุ่นที่อยู่ลิบๆกลางทะเล อ้อ ระยะทางที่กำหนดในการแข่งขันคราวนั้นไม่ถึง ๓.๘ กิโลเมตรหรอกครับ คนจัดเขากลัวพวกเราจะม่องเท่งเลยจัด“ลูกเจี๊ยบสามอย่าง”มาให้พวกเราลองดู และจัดว่ายน้ำแค่ ๑๐๐๐ เมตร ซึ่งแค่นี้ก็แทบรากเลือดแล้วสำหรับนักว่ายน้ำสมัครเล่น คิดดูซิครับสระว่ายน้ำมาตรฐานนั่นยาวแค่ ๕๐ เมตร แต่เราๆว่ายไปกลับยังแทบไม่ไหว พอผมว่ายไปเป่าปากปู้ดๆไปจนถึงทุ่น เห็นคนเกาะทุ่นหอบยังกะหมาหอบแดดอยู่สองคน ใจชักชื้นขึ้นมาว่า ฮี่ธ่อเอ๊ย ไอ้ยุ่นกระจอกก็มีเหมือนกันนี่หว่า
ได้กำลังใจมาโข จึงว่ายจ้วงเอาๆจนขึ้นตลิ่งได้เป็นคนห้าสิบกว่าเกือบหกสิบ จากคนลงแข่งประมาณเฉียดร้อยในกลุ่มที่ผมลงแข่งด้วย
ครับ คนลงแข่งมันมีจำนวนไม่มากนักหรอก ไม่เป็นพันเป็นหมื่นเหมือนพวกวิ่งการกุศลเพราะนั่นถูกบังคับให้มาวิ่งก็มีเยอะ และคนบ้าดีเดือดพวกเดียวกะผมนี่ยังแพร่พันธุ์ได้ไม่กว้างขวางเท่าไหร่นัก
พอถึงฝั่งผมรีบอาบน้ำฝักบัวที่กรรมการเขาจัดไว้ให้ขจัดความเหนียวตัวของน้ำทะเลเล็กน้อย แล้วรีบวิ่งไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ฉวยเสื้อยืดและกุงเกงขาสั้นขึ้นมาผลัดกุงเกงอาบน้ำ ถัดไปข้างๆ มีผู้แข่งขันยืนผลัดผ้าอยู่สามสี่คน ผมดึงกุงเกงขึ้นมานุ่งแล้วแอบหันไปดูข้างๆ ไอ๊หยา! แหม่มสาวคนนึงกำลังเปลี่ยนชุดอยู่เหมือนกัน แต่เด็ดขาดและรวดเร็วกว่าผมหลายเท่า ผมน่ะต้องอาศัยผ้าขะม้าเปลี่ยนกุงเกง แต่เจ้าหล่อนรึครับไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์อื่นใดเลย แค่ถอดชุดว่ายน้ำออกเหลือแต่ตัวล่อนจ้อนโทงๆ โดยไม่ประหวั่นพรั่นพรึงต่อสายตาของคนดูที่จ้องตาค้างเป็นตาเดียวกัน ผมเห็นคนดูสาวไทยคนนึงยืนเอามือกุมปิดปาก ตาเบิกโพลงจ้องตัวแข็งยังกะโดนสะกดจิต ฮ่าฮ่า คงไม่เคยเห็นอะไรยังงี้มาก่อน ผมใส่เสื้อกุงเกงเสร็จก็ขึ้นจักรยานห้อเต็มเหยียดไล่หลังกลุ่มข้างหน้าอย่างเมามันในอารมณ์
อย่าหาว่าคุยเลยนะครับ ช่วงขี่จักรยานนี่ผมแซงมาอีกสิบกว่าคน ไต่อันดับขึ้นมาเป็นที่สามสิบกว่าๆในใจกำลังลิงโลดเป็นล้นพ้น เพราะไม่มีอาการเหนื่อยมาปรากฏให้เป็นที่กังวล เพราะก่อนแข่งนั้นจักรยานเป็นชนิดกีฬาที่ผมไม่แน่ใจกว่าอย่างอื่นว่าจะไปไหวมั้ย โดยเฉพาะในช่วงที่มีการขี่ขึ้นเนินนั้นท่านผู้อ่านที่เคยมีประสบการณ์คงจะทราบดีว่ามันสาหัสสากรรจ์แค่ไหน น่องงี้ตึงเขม็งโป่งแทบระเบิด อ้อ ระยะทางจักรยานสำหรับ “ลูกเจี๊ยบสามอย่าง”คราวนี้ ๔๐ กิโลเมตรครับ พอผมขี่มาได้เกือบครึ่งทางเท่านั้นก็สังเกตเห็นคนที่อยู่หน้าผมเริ่มขี่สวนกลับมาจากจุดย้อนกลับ แต่ละคนอาการไม่ดีเท่าไร ผมคงจะแซงได้อีกสักห้าหกคนเป็นอย่างน้อยในช่วงขากลับ ผมมีความหวังเต็มปรี่เพราะพอถึงกีฬาวิ่งอันเป็นไก่ตัวสุดท้ายนี่ผมถนัดที่สุด ผมก็กะจะแซงอีกไม่ต่ำกว่าห้าหกคนและผมคงจะไต่อันดับมาอยู่ในระดับที่เชิดหน้าคุยกับใครๆได้อย่างสบาย นี่ขนาดแก่ๆนะนี่ ลองยังหนุ่มๆอยู่ละก้อ มึงเอ๋ยคงได้อัดกันอร่อยกว่านี้อีกเยอะ
ผมปั่นจักรยานเต็มตีน ในใจก็นึกถึงธงไตรรงค์ผืนเล็กๆ ที่เมื่อคืนก่อนได้ศรีภรรยาที่บ้านบรรจงติดไว้ที่เสื้อวิ่ง อีกไม่กี่สิบนาทีข้างหน้าผมก็จะลงจากจักรยานและหยิบมันมาสวมใส่ออกวิ่งโชว์แล้ว แต่แล้วในฉับพลันนั้นหูผมก็ได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากล้อหน้าของผม
ฟีย์ย์ย์….
ใจผมหายวูบ แฟบยิ่งกว่ายางรถจักรยานของผมเสียอีก โอ๊ย…อิ๊บอ๋าย เสือกมาแตกอีตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม เห็นหลักชัยอยู่ร่อมร่อ ผมหมดอาลัยตายอยากลงจากรถ ปล่อยรถทิ้งโยนโครมกับถนน
พลางยกเท้ากระทืบซ้ำอีกสองทีให้หายแค้น